กรณีการจดสิทธิบัตรกระท่อม มีหลายประเด็นที่หน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่และดูแลกฎหมายต่างๆต้องดำเนินการ โดยหน่วยงานหลักที่มีบทบาทมากที่สุดคือกรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกระทรวงสาธารณสุขที่ดูแล พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ด้วย

กรมทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องนี้ ต้องรีบดำเนินการยื่นคัดค้านการขอรับสิทธิบัตรในกระท่อมซึ่งยื่นโดยบริษัทมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นโดยด่วน เนื่องจากเมื่อผ่านขั้นตอนการพิจารณาโดยองค์กรตรวจสอบระหว่างประเทศของ WIPO แล้วสิทธิบัตรดังกล่าวจะถูกส่งมายังแต่ละประเทศเพื่อพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่ จากการตรวจสอบของไบโอไทยหลายประเทศที่ยื่นคำขอเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ(CBD) ซึ่งต้องปฏิบัติตามพันธกรณีเกี่ยวกับการเข้าถึง การทำความตกลงร่วมกัน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

โดยแหล่งข่าวจากกรมฯซึ่งให้ข่าวผ่านสื่อมวลชนขณะนี้ยอมรับแล้วว่าญี่ปุ่นได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรกระท่อมผ่าน PCT จริง แต่กลับบอกว่าเลยเวลาที่กำหนดในการคัดค้านแล้วก็ไม่เป็นความจริง เพราะยังเหลือขั้นตอนที่แต่ละประเทศที่เขาแจ้งความประสงค์จะขอรับสิทธิบัตรนั้นพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่(หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้ว) ยิ่งกรมฯปล่อยเวลาให้เนิ่มช้าออกไปโดยไม่คัดค้านไปยังแต่ละประเทศข้างต้น ยิ่งเกิดความเสียหายต่อประเทศ

สิ่งที่เป็นความบกพร่องสำคัญของกรมฯก็คือการละเลยไม่ยอมแก้กฎหมายสิทธิบัตรของไทยให้แสดงที่มาของทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น ในขณะที่ประเทศซึ่งการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวจะทำให้บริษัทยาในประเทศของตนต้องเสียประโยชน์ก็ยังแก้กฎหมายนั้นแล้ว เช่น สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตาม CBD เสียงเรียกร้องให้มีการแก้กฎหมายนี้โดยเครือข่ายวิชาการเกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพมีมานานและต่อเนื่องกว่า 20 ปี แต่ผู้รับผิดชอบยังคงเพิกเฉย เนื่องจากอิทธิพลของระบบกฎหมายสิทธิบัตรแบบอเมริกันที่ครอบงำผู้เกี่ยวข้องเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ทั้งที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่เข้าร่วมเป็นภาคีใน CBD

กรมวิชาการเกษตรเป็นอีกหน่วยงานที่ควรมีบทบาทเชิงรุกในกรณีนี้ เนื่องจากภายใต้กฎหมายสิทธิบัตรพันธุ์พืช กระท่อมถือเป็นพันธุ์พืชที่ได้รับการคุ้มครอง ภายใต้พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช 2542 นักวิจัยที่ใช้ประโยชน์จากพันธุ์พืชป่า หรือพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป เป็นต้น นั้น ต้องขออนุญาตและต้องทำความตกลงแบ่งปันผลประโยชน์กับรัฐ

ส่วนกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกต้องร่วมสนับสนุนและผลักดันให้รัฐบาลโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา นอกเหนือจากปฏิเสธการยื่นจดสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้ว ยังมีความจำเป็นต้องยื่นคัดค้านการขอจดในต่างประเทศด้วย โดยควรรวบรวมตำรับยาและสูตรยาของหมอพื้นบ้านต่างๆที่ระบุคุณสมบัติเกี่ยวกับการระงับปวดว่าเป็นความรู้ของหมอยาพื้นบ้านและปรากฎในหลักฐานต่างๆของไทย

การคัดค้านสิทธิบัตรควรยื่นคัดค้านทั้งในส่วนที่

  • เป็นการคัดค้านภายใต้กรอบกฎหมายสิทธิบัตร เช่น อนุพันธ์ของ Mitragynine ที่มีการยื่นขอจดอย่างครอบคลุมกว้างขวางนั้นมีอยู่แล้วในสารสกัดธรรมชาติจากกระท่อม หรือมีอยู่แล้วในพืชอื่นๆคุณสมบัติของกระท่อมในการบำบัดอาการปวดซึ่งเป็นความรู้ของหมอยาพื้นบ้าน การจดสิทธิบัตรของญี่ปุ่นจึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายสิทธิบัตรเองที่ต้องมีความใหม่ และมีนวัตกรรมที่สูงขึ้น ซึ่ง
  • เป็นการคัดค้านภายใต้กติการะหว่างประเทศ CBD ที่ทั้งไทยและญี่ปุ่นหรือประเทศที่ญี่ปุ่นกำลังยื่นจดนั้นเป็นภาคี รวมทั้งการอ้างกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชของไทย(ซึ่งเป็นกฎหมายภายในที่เอาหลักการใน CBD มาปรับใช้)

สำหรับการเสนอให้ยกเลิกกระท่อมเป็นสารเสพติดที่ผู้ครอบครองมีโทษทั้งจำทั้งปรับนั้น ขัดขวางต่อการนำสมุนไพรดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ซึ่งจะขอกล่าวเป็นลำดับต่อไป

https://www.facebook.com/biothai.net/photos/a.467826533255873/1178803432158176/

ที่มา: BIOTHAI Facebook