การเปิดเผยของกรรมาธิการวิสามัญ CPTPP ที่ตั้งคำถามต่อกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่กรมวิชาการเกษตร เกี่ยวกับสถานะของประเทศไทยใน UPOV1991 ว่าอยู่ในสถานะใดน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเอกสารของ UPOV ระบุว่าการเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาที่ถูกบางท่านขนานนามว่า “อนุสัญญาโจรสลัดชีวภาพ” นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ มีการแสดงเจตจำนงอย่างเป็นทางการว่าประสงค์จะเข้าร่วมเป็นภาคีก่อน UPOV จึงจะอนุมัติให้มีสถานะเป็นผู้สังเกตการณ์ โดยระหว่างนั้นต้องมีการดำเนินการเพื่อแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตาม UPOV1991
ไบโอไทยสืบค้น การแก้ไข “พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542” ซึ่งที่จริงเป็นกฎหมายแม่แบบที่แม้แต่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNEP ยกให้เป็นตัวอย่างแก่ประเทศต่างๆสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร เพื่อค้นหาไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังการลักหลับพาไทยแสดงเจตจำนงเข้าเป็นภาคี UPOV พบรายละเอียดดังนี้
ครั้งแรก ระหว่างปี 2552-2555 ได้มีความพยายามในการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ โดยการผลักดันของ “สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย” ซึ่งเป็นองค์กรของบรรษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่ของไทยและบรรษัทข้ามชาติด้านเมล็ดพันธุ์ แต่ความพยายามในการแก้กฎหมายดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายของกรมวิชาการเกษตรมากกว่า
ครั้งที่สอง ในช่วงต้นปี 2556 กลุ่มบริษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่และข้าราชการบางส่วนในกรมวิชาการเกษตร ได้ร่วมกันยกร่างกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ มาแทนที่กฎหมายเดิม โดยอ้างว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และปรับปรุงกฎหมายไทยให้ได้มาตรฐานระหว่างประเทศ โดยเนื้อหาในร่างกฎหมายใหม่มีเนื้อหาตาม UPOV1991 พร้อมทั้งกำหนดคำนิยามพันธุ์พืชพื้นเมืองขึ้นใหม่เพื่อเอื้ออำนวยให้ตนเอง สามารถขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ได้โดยสะดวก แต่เรื่องดังกล่าวก็เงียบหายไปเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายการเมือง
ครั้งที่สาม ในช่วงปี 2560 ในรัฐบาลคสช. กรมวิชาการเกษตรได้นำร่างกฎหมายใหม่ซึ่งร่างขึ้นตาม UPOV1991 ผลักดันให้เป็นกฎหมาย โดยครั้งนี้ได้นำร่างกฎหมายนี้เผยแพร่ผ่านเว็บไซท์เพื่อรับฟังความคิดเห็น เตรียมเสนอเข้าครม. แต่ความพยายามดังกล่าวกลับล้มเหลวเมื่อประชาชนลุกขึ้นคัดค้านอย่างกว้างขวางว่า เป็นร่างกฎหมายที่จะทำให้การเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อกลายเป็นอาชญากรรม ทั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าฉวยโอกาสผลักดันเรื่องดังกล่าวในช่วงที่มีราชพิธี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ ซึ่งมีเป็นรมว.เกษตรขณะนั้นต้องประกาศถอนเรื่องดังกล่าวออกไป
การผลักดันในครั้งแรกและครั้งที่สองนั้น พอจะสรุปเป็นเบื้องต้นว่าฝ่ายการเมืองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นการผลักดันโดยความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทเมล็ดพันธุุ์ และข้าราชการบางคนในกรมวิชาการเกษตร
ส่วนการผลักดันในครั้งที่สามนั้น น่าประหลาดใจที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการผลักดันให้มีการเปิดเสรีการปลูกพืชจีเอ็มโอ การอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสามสารพิษ ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือกลุ่มบรรษัทยักษ์ใหญ่/บรรษัทข้ามชาติด้านพันธุ์พืชและสารพิษที่รวมตัวกันในนาม CropLife หากใครสงสัยว่าไม่มีเฉพาะข้าราชการเท่านั้น แต่ “อาจ” เกี่ยวข้องกับฝ่ายนโยบายด้วย ต้องการจะหาไอ้โม่งที่เป็นนักการเมืองที่ไฟเขียวให้มีการแสดงเจตจำนงในการเข้าร่วมเป็นภาคี UPOV1991 ก็ลองไล่ดูว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้างในแต่ละเหตุการณ์ทางนโยบายดังกล่าว
ส่วนการแกะรอย “ไอ้(อี)โม่ง” ในระดับเจ้าหน้าที่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการลักหลับพาประเทศไทยไปเข้าร่วม UPOV1991 นั้น ไบโอไทยได้รับการแจ้งเบาะแสจากแหล่งข่าวในกระทรวงเกษตรฯว่า มีอดีตข้าราชการในกรมแห่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพันธุ์พืชอย่างน้อย 3 คน ได้เข้าไปร่วมทำงานกับบริษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติและ/หรือเป็นตัวแทนของสมาคมของบรรษัทข้ามชาติที่ผลักดัน UPOV1991 น่าสงสัยว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวในขณะที่รับราชการ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่ กับการเริ่มต้นกระบวนการพาประเทศไทยไปเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฉบับนี้ เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศเช่นนี้ รัฐบาลควรดำเนินการ 2 ประการคือ
1. ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึงสำนักงาน UPOV เพื่อหาหลักฐานว่า หน่วยงานใด และผู้ใดเป็นผู้ลงนามแจ้งอย่างเป็นทางการว่าประเทศไทยสนใจจะเข้าร่วมเป็นภาคี UPOV หากไม่ปรากฎเป็นหลักฐาน ก็ควรให้ UPOV แก้ไขสถานะของประเทศไทยให้ถูกต้องเสียใหม่ เพราะเป็นการกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียวของ UPOV
2. ควรที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯจะได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ทั้งนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการในกรมฯที่ถูกเพ่งเล็งและกล่าวหา หรือมิฉะนั้นก็ควรมีบทลงโทษที่เหมาะสมหากพบว่ามีข้าราชการบางคนบางกลุ่มดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง ตามข้อสังเกตของกรรมาธิการ CPTPP ของสภาผู้แทนราษฎร
เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหาย เพราะเรื่องสำคัญนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของระบบเกษตรกรรมและอาหาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกคน
ที่มา: BIOTHAI Facebook