เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558 ที่โรงแรมตรัง กรุงเทพมหานคร เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน และเครือข่ายภาคประชาชนรวม 9 องค์กรได้ร่วมกันจัดประชุมเพื่อวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิค(TPP)
และการผลักดันร่างกฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อเปิดเสรีการปลูกพืชจีเอ็มโอ เพื่อเตรียมการเคลื่อนไหวคัดค้านในสองเรื่องสำคัญดังกล่าว โดยมีนักวิชาการด้านทรัพย์สินทางปัญญาและทรัพยากรชีวภาพจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย

รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ควรพจน์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยชี้ว่า การเข้าร่วมเป็นภาคีในทีพีพีจะทำให้ประเทศไทยต้องเข้าเป็นภาคีในสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านทรัพย์สินทางปัญญานับสิบฉบับ โดยที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพเช่น UPOV1991 และ Budapest Treaty เป็นต้น ทั้งนี้โดยการเข้าเป็นภาคีในสนธิสัญญาทั้งสองฉบับจะส่งผลกระทบต่อการจัดการทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทย เช่น แก้ไขกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช เพิ่มการคุ้มครองบริษัทเมล็ดพันธุ์มากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อเกษตรกรในระยะยาว นอกเหนือจากนี้การขยายการคุ้มครองข้อมูลยา (Data Exclusivity) ออกไป 10 ปีสำหรับเคมีภัณฑ์เกษตรจะส่งผลกระทบต่อบริษัทสารเคมีเกษตรรายย่อยในประเทศไทยอย่างมาก

ด้าน ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยชี้ว่า น่าแปลกใจที่แนวโน้มการปฎิเสธจีเอ็มโอเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศไทยกลับกำลังผลักดันพ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยหากวิเคราะห์จะเห็นได้ชัดว่าผู้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเจตนาในการเปิดเสรีพืชจีเอ็มโอ โดยยกเว้นให้มีการควบคุมเฉพาะพืชจีเอ็มโอที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้น หลักการสำคัญที่ปรากฏในความตกลงระหว่างประเทศ เช่น หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precaution Principle) และการคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคม (Socio-economic Approach) การสร้างหลักประกันทางการเงินสำหรับการเยียวยา ซึ่งปรากฏในพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพและพิธีสารย่อยนาโงย่า-กัวลาลัมเปอร์เกี่ยวกับการชดใช้และเยียวยาความเสียหายกลับไม่ปรากฏในร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว

ปัญหาร้ายแรงของร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ที่เปิดช่องให้เจ้าของจีเอ็มโอที่ได้รับอนุญาตให้ปลดปล่อยต่อสิ่งแวดล้อมแล้วไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหาย ซึ่งหากเราดูจากประเทศสหรัฐอเมริกาในกรณีข้าวจีเอ็มโอลิเบอร์ตี้ลิงค์นั้น พบว่าเกิดความเสียหายที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1,284 ล้านเหรียญเพื่อให้สำหรับการจัดการฟื้นฟูทำความสะอาดจากปัญหาการปนเปื้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเกิดกรณีปัญหาการปนเปื้อนขึ้นในประเทศไทย จะไม่มีผู้ใดรับผิดชอบ

นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีวิถี (BIOTHAI) ซึ่งเป็นองค์กรร่วมจัดกล่าวว่า บรรษัทยักษ์ใหญ่เมล็ดพันธุ์ข้ามชาติและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่เกษตรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อเปิดเสรีจีเอ็มโอ ประเด็นการเปิดเสรีจีเอ็มโอและการผลักดันให้มีการขยายการผูกขาดเรื่องพันธุ์พืชยังปรากฎอยู่ในความตกลงทีพีพีอีกด้วย ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นการจับมือกันระหว่างกลุ่มเกษตรยักษ์ใหญ่ของไทยและบรรษัทข้ามชาติ “นี่คือเหตุผลที่ทำไมเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร ร่วมกับกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอว็อทช์) และองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆรวม 9 องค์กร จึงได้จับมือร่วมกันในการเคลื่อนไหว”

อนึ่งเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมจะจัดให้มีการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อต่อต้านพ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพที่เอื้ออำนวยประโยชน์แก่บรรษัทเมล็ดพันธุ์ และคัดค้านการที่รัฐบาลไทยและกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่จะเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิค ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 หน้าทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.00 น.

ที่มา: BIOTHAI Facebook